23,899 ราย!
คือ ตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในรอบ 75 วัน ของปีนี้ ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 24 ราย!
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงเตือนประชาชนให้ระวังการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่ในปีนี้สถานการณ์อยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง หลังยอดผู้ป่วยพุ่งสูงกว่า 20,000 รายในรอบกว่า 2 เดือนของปี 2557
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า ตัวเลขผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะตัวเลขผู้เสียชีวิตถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ส่วนที่มีการเข้าใจผิดคิดว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หรือ สายพันธุ์ที่ดุกว่าเดิมนั้น อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เป็น สาเหตุของการป่วยในปีนี้ ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิมที่เคยระบาดตามฤดูกาลก่อนหน้านี้ คือ สายพันธุ์ A H1 N1
“จากการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยา- ศาสตร์การแพทย์ พบว่าผู้ป่วยถึง 44% ป่วยจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 อีก 38% เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B และ 18% เป็นเชื้อสายพันธุ์ A H3N2” นพ.โสภณ บอกพร้อมกับย้ำว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบทั้งการกลายพันธุ์และการดื้อยาของเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ที่ว่านี้
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า แม้จะไม่มีการกลายพันธุ์หรือดื้อยา แต่ผลการศึกษาจากสหรัฐฯและยุโรปพบว่าเชื้อชนิดนี้มีความรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์เก่าอื่นๆ โดยมีอัตราป่วยตายและอัตราเข้ารับการรักษาใน รพ. สูงกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่น
จริงๆแล้ว สัญญาณเตือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ เริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี เมื่อศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯหรือ ซีดีซี ออกมาแสดงความกังวลต่อจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถาน-การณ์การแพร่ระบาดของโรคอยู่ในขั้นรุนแรง
โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ต่างจาก เอเชียตะวันออก แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก ที่พบว่า สายพันธุ์ไข้หวัด ใหญ่ที่ตรวจพบมากที่ สุดเป็นสายพันธุ์ H1 N1
นพ.โสภณ ยังบอกด้วยว่า เด็กและเยาวชนยังคงเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่พบได้มากที่สุดในการระบาดของโรค และ 5 จังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ ลำปาง ระยอง เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และพะเยา
ทั้งนี้ โรคไข้หวัด ใหญ่ สามารถติดต่อกันได้ง่าย เชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ติดต่อกันได้โดยการสัมผัส หรือการไอ จามและการปนเปื้อนของเชื้อในภาชนะ ของใช้ส่วนตัวหรือของใช้สาธารณะ เช่น ลูกบิด ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ราวรถโดยสาร โดยอาจติดต่อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางมือที่เปื้อนเชื้อเมื่อแคะจมูก ขยี้ตา เอานิ้วเข้าปาก
การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ ด้วยน้ำผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป
ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว ควรคาดหน้ากากป้องกันตลอดเวลาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม งดการเดินทาง หยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ
อาการของโรคที่สังเกตได้ คือ มีไข้สูง เกิน 2 วัน หรือไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อย อ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระมาก ซึ่งถ้ามีไข้สูงเกิน 2 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะส่วนใหญ่แล้วอาการของโรคจะค่อยๆดีขึ้นเองเมื่อครบวงจรการติดเชื้อของไวรัส
ส่วนการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้น ควรฉีดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า วัคซีนสามารถป้องกัน รวมถึงบรรเทาอาการป่วยได้เพียง 62% เท่านั้น และผู้ที่ป่วยแล้วอาจกลับมาป่วยได้อีก หากเป็นการติดเชื้อคนละสายพันธุ์.
คือ ตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในรอบ 75 วัน ของปีนี้ ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 24 ราย!
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงเตือนประชาชนให้ระวังการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่ในปีนี้สถานการณ์อยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง หลังยอดผู้ป่วยพุ่งสูงกว่า 20,000 รายในรอบกว่า 2 เดือนของปี 2557
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า ตัวเลขผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะตัวเลขผู้เสียชีวิตถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ส่วนที่มีการเข้าใจผิดคิดว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หรือ สายพันธุ์ที่ดุกว่าเดิมนั้น อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่เป็น สาเหตุของการป่วยในปีนี้ ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิมที่เคยระบาดตามฤดูกาลก่อนหน้านี้ คือ สายพันธุ์ A H1 N1
“จากการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยา- ศาสตร์การแพทย์ พบว่าผู้ป่วยถึง 44% ป่วยจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 อีก 38% เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B และ 18% เป็นเชื้อสายพันธุ์ A H3N2” นพ.โสภณ บอกพร้อมกับย้ำว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบทั้งการกลายพันธุ์และการดื้อยาของเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ที่ว่านี้
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า แม้จะไม่มีการกลายพันธุ์หรือดื้อยา แต่ผลการศึกษาจากสหรัฐฯและยุโรปพบว่าเชื้อชนิดนี้มีความรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์เก่าอื่นๆ โดยมีอัตราป่วยตายและอัตราเข้ารับการรักษาใน รพ. สูงกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่น
จริงๆแล้ว สัญญาณเตือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ เริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี เมื่อศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯหรือ ซีดีซี ออกมาแสดงความกังวลต่อจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถาน-การณ์การแพร่ระบาดของโรคอยู่ในขั้นรุนแรง
โดยส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ต่างจาก เอเชียตะวันออก แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก ที่พบว่า สายพันธุ์ไข้หวัด ใหญ่ที่ตรวจพบมากที่ สุดเป็นสายพันธุ์ H1 N1
นพ.โสภณ ยังบอกด้วยว่า เด็กและเยาวชนยังคงเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่พบได้มากที่สุดในการระบาดของโรค และ 5 จังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ ลำปาง ระยอง เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และพะเยา
ทั้งนี้ โรคไข้หวัด ใหญ่ สามารถติดต่อกันได้ง่าย เชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ติดต่อกันได้โดยการสัมผัส หรือการไอ จามและการปนเปื้อนของเชื้อในภาชนะ ของใช้ส่วนตัวหรือของใช้สาธารณะ เช่น ลูกบิด ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ราวรถโดยสาร โดยอาจติดต่อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางมือที่เปื้อนเชื้อเมื่อแคะจมูก ขยี้ตา เอานิ้วเข้าปาก
การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ ด้วยน้ำผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป
ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว ควรคาดหน้ากากป้องกันตลอดเวลาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม งดการเดินทาง หยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ
อาการของโรคที่สังเกตได้ คือ มีไข้สูง เกิน 2 วัน หรือไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อย อ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระมาก ซึ่งถ้ามีไข้สูงเกิน 2 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะส่วนใหญ่แล้วอาการของโรคจะค่อยๆดีขึ้นเองเมื่อครบวงจรการติดเชื้อของไวรัส
ส่วนการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้น ควรฉีดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า วัคซีนสามารถป้องกัน รวมถึงบรรเทาอาการป่วยได้เพียง 62% เท่านั้น และผู้ที่ป่วยแล้วอาจกลับมาป่วยได้อีก หากเป็นการติดเชื้อคนละสายพันธุ์.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น