วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สสจ.อุดรฯ เตือนโรคคอตีบระบาด

สสจ.อุดรฯ เตือนโรคคอตีบระบาด พบผู้ป่วยพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว 35 ราย








อุดรธานี - จังหวัดอุดรธานีขึ้นป้ายเตือนโรคคอตีบระบาด ขณะที่นายแพทย์สาธารณสุขแนะวิธีป้องกันตนเองโดยไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้มีอาการไข้ ไอ เผยแถบภาคอีสานได้รับการแพร่เชื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน พบผู้ป่วยในกลุ่มจังหวัดใกล้เคียงแล้ว 35 ราย
              นายแพทย์สัญชัย ปิยะพงษ์กุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์โรคคอตีบในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะแถบภาคอีสานที่มีการติดเชื้อข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน และพบผู้ป่วยในจังหวัดใกล้เคียงแล้วจำนวน 35 ราย จากการสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสเชื้อ พบว่ามีผู้สัมผัสเชื้อจำนวนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และได้กลับมาเยี่ยมบ้านหลังการสัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย ซึ่งขณะนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีและหน่วยบริการในพื้นที่อยู่ระหว่างติดตามเฝ้าระวังอาการกลุ่มผู้สัมผัสเชื้อเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด              ประกอบกับมีประชากรจากจังหวัดเลยบางส่วนมาประกอบอาชีพค้าขายในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากโรคคอตีบเป็นโรคติดต่อร้ายแรงและเกิดการระบาดได้ง่าย              ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจากโรคดังกล่าว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีขอแนะนำให้ประชาชนยึดหลักพึงระวัง เลี่ยงคลุกคลี และรีบพบแพทย์ทันทีที่มีอาการต้องสงสัย โดยข้อที่พึงระวังคือ ต้องตระหนักรู้อันตรายของโรคคอตีบ และงดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ              ได้แก่ การดื่มน้ำในที่สาธารณะ ซึ่งใช้แก้วใบเดียวกัน บุตรหลานรับวัคซีนป้องกันโรคไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด การเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดโดยไม่ป้องกันตนเอง การรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ใช้ช้อนกลาง              ขณะที่การเลี่ยงคลุกคลีคือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้มีอาการไข้ ไอ และมีฝ้าขาวในลำคอ ผู้ป่วยโรคคอตีบและผู้ที่กำลังรับการรักษาต้องแยกตัวอย่างน้อย 3 สัปดาห์ และเลี่ยงการไปในที่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น              ที่สำคัญ หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ควรเข้ารับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน และหากแพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการน่าสงสัยว่าเป็นโรคคอตีบต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาอย่างเคร่งครัด โดยรับประทานยาให้ตรงเวลา ต่อเนื่องจนครบกำหนด และมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อตรวจดูอาการของโรคอย่างใกล้ชิด              สำหรับโรคคอตีบติดต่อได้จากน้ำลาย ละอองเสมหะ การไอ จามรดกัน การดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน สิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อคอตีบคือ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ กลืนลำบาก เด็กจะต้องได้รับวัคซีนให้ครบตามกำหนด

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คอตีบ



โรคไข้คอตีบ
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  (Corynebacterium diphtheriae) มักจะเป็นในระบบทางเดินหายใจ ต่อมทอนซิล ลำคอ  
กล่องเสียงหรือจมูก
อาการและการติดต่อ  

ติดต่อทางตรงโดยผู้ป่วยเป็นพาหะ ติดจากละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยหรือจากน้ำนมที่มีเชื้อโรค โดยการใช้ขวดนมร่วมกันของเด็กที่เป็นโรคติดต่อทางอ้อม โดยการใช้ภาชนะ ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย พบมากในแหล่งชุมชน หรือสถานที่แออัด 
เช่น สถานเลี้ยงเด็ก อาการของโรคคอตีบจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉียบพลัน หลังจากผ่านระยะฟักตัวหรือเมื่อ เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้วประมาณ 2-5 วัน
บริเวณที่ติดเชื้อจะมีแผ่นเนื้อเยื่อสีเทา หรือ สีขาว เกิดที่ผนังของหลอดคอและที่ต่อม
ทอนซิล รอบ ๆ แผ่นเยื่อสีเทานี้จะบวมแดง อันเนื่องมาจากการอักเสบ อาการโดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บในหลอดคอ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย ถ้าเป็นคอตีบของกล่องเสียง จะมีอาการบวมมาก 
 อาจทำให้หายใจไม่ออก ทำให้เด็กเล็กๆ ตายได้ง่าย  แต่ถ้าเป็นคอตีบที่โพรงจมูกจะมีอาการเล็กน้อย
และมักจะเรื้อรัง โดยมีน้ำมูกข้างใดข้างหนึ่งอาจมีเลือดปนคอตีบของผิวหนังจะเกิดแผล มีสะเก็ด
สีเหลืองหนาบนปากแผล สะเก็ดจะติดแน่นบนผิวหนังมักมีอาการเรื้อรังเช่นเดียวกับคอตีบที่ช่องจมูก
โรคแทรกซ้อน อาจเกิดโรคหัวใจอักเสบ หรือมีอาการอักเสบของประสาทสมอง โรคอัมพาตเนื่องจากพิษทางประสาท
โรคไข้คอตีบ มักพบมากในเด็กก่อนและระยะต้น ๆ ของวัยเรียน คือช่วงอายุ 2-5 ปี  หรือพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 15
ปี ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับภูมิคุ้มกันก็อาจป่วยเป็นไข้คอตีบได้
    
การตรวจวินิจฉัยโรค
1.ดูจากอาการผู้ป่วย
2.ตรวจพบเนื้อเยื่อสีเทาหรือสีขาว (Tenacious gray pseudomembrane)  ที่บริเวณ ซึ่งตัวเชื้อโรคเข้าไป
นำไปเพาะเชื้อ
    
การป้องกัน
1.
การให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Toxoid) ให้ครอบคลุม ควรเริ่มในเด็กทารกด้วย วัคซีน DTP  ซี่งประกอบด้วย
Toxoid คอตีบToxoid  บาดทะยัก และวัคซีนไอกรน  โดยฉีดในเด็ก อายุ 2-3 เดือน ฉีดเข็ม 2 และ 3 ห่างกัน
เข็มละ 2 เดือน  แล้วฉีดกระตุ้นหลังเข็มสุดท้ายประมาณ 1 ปี สำหรับเด็กหรือผู้สัมผัสโรค ควรฉีด Antitoxin 
โดยพิจารณาปริมาณตามความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันโรค
2.ไม่ควรใกล้ชิดผู้ป่วย จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า เด็กนั้นไม่เป็นพาหะของโรคแล้ว
 

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี

7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 1 มิ.ย.-30 ก.ย.2555

7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 1 มิ.ย.-30 ก.ย.2555


วัคซีนไข้หวัดใหญ่


สธ.ดีเดย์ 1 มิถุนายนนี้ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ให้กลุ่มเสี่ยง 3.55 ล้านคน พร้อมกันทั่วไทย (กระทรวงสาธารณสุข)

          สธ.จับ มือ สปสช.และ อภ. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มเสี่ยง ทุกสิทธิฟรี จำนวน 3.55 ล้านคน ใช้งบกว่า 500 ล้านบาท ดีเดย์ฉีดพร้อม กันทั่วประเทศตั้งแต่ 1 มิถุนายนถึง 30 กันยายน 2555 ที่สถานพยาบาลของรัฐและเอกชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล 3 สายพันธุ์

          นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสปสช. นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ร่วมกันแถลงข่าวว่า ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับ สปสช. และองค์การเภสัชกรรม จัดโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2555 เพื่อฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มฟรี ได้แก่

          1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ

          2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป

          3.ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม

          4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

          5.เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี

          6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป

          7.บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก

          โดยกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดมีจำนวน 3,550,000 คน ซึ่งได้ขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน

          ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวใช้งบประมาณของ สปสช.กว่า 500 ล้านบาท ให้ บริการฉีดที่โรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไปจนถึง 30 กันยายน 2555 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สายด่วน สปสช. โทร.1330

          นายวิทยา กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่ มักระบาดในช่วงหน้าฝนถึงฤดูหนาว ปัจจุบันประชาชนจะมองโรคนี้ว่าเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่สำหรับคนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคเรื้อรังนั้น หากป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่แทรกซ้อน จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตมาก

          ในแต่ละปีประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 7-9 แสนราย ในจำนวนนี้มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม ต้องรับไว้โรงพยาบาล 12,575 – 75,801 รายต่อปี อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีภาวะแทรกซ้อนอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลปีละ 913 – 2,453 ล้านบาท ดังนั้นแนวทางป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -14 พฤษภาคม 2555 ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 11,380 ราย ไม่มีเสียชีวิต 

          นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า เมื่อประชาชนกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว ก็จะลดการเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้ คนไข้ และญาติก็ไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายมาหาหมอ ไม่ต้องมีการตรวจรักษาหรือจ่ายยา และไม่มีค่าเดินทางมาโรงพยาบาล ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็ลดภาระการรักษาพยาบาลลงได้เช่นกัน

          ทั้งนี้ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดในปีนี้ เป็นวัคซีนรวม 3 สายพันธุ์ คือชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1(A H1N1) ชนิดเอ เอช 3 เอ็น 2 (A H3N2) และชนิดบี (B) ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทยและทั่วโลก และวัคซีนยังใช้ได้ผลดี เนื่องจากเชื้อไม่มีปัญหากลายพันธุ์





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันแม่แห่งชาติ

 
ความเป็นมา
งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515
แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ
 
ดอกมะลิ สัญลักษณ์ของวันแม่
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล (ภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ)กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (ม.ร.ว.สท้าน สนิทวงศ์) และท้าววนิดาพิจาริณี บิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว กิติยากร ตั้งอยู่ที่ 1808 ถนนพระรามที่ 6 อำเภอปทุมวัน จ.พระนคร  ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "สิริกิติ์" มีความหมายว่า "ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร"

ตราประจำพระองค์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระภาดา (พี่ชาย) 2 องค์ และและพระขนิษฐภคินี (น้องสาว) 1 องค์ ดังนี้ หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2472) หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2473) และ หม่อมราชวงศ์หญิง บุษบา กิติยากร (ชาตะ พ.ศ. 2477)
ในระหว่างยังทรงพระเยาว์ สถานการณ์บ้านเมืองไม่สู้สงบนัก เนื่องจากเพิ่งพ้นจากช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องทรงออกจากราชการ รัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งเลขานุการเอกประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่ ได้เดินทางไปสมทบหลังจากให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้ว โดยมอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว ดังนั้นจึงต้องอยู่ไกลจากบิดามารดาตั้งแต่อายุน้อย บางคราวต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เช่น พ.ศ. 2476 หม่อมเจ้าอัปสรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปอยู่ที่จังหวัดสงขลา ปลายปี พ.ศ. 2477 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการแล้วกลับมาประเทศไทย จึงทำให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 2 ปี 6 เดือน ได้กลับมาอยู่รวมพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ณ ตำหนักบริเวณถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
การศึกษา
พ.ศ. 2479 เมื่อหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์มีอายุได้ 4 ขวบ ก็ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกในชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ทว่าในขณะนั้น แม้เหตุการณ์ด้านการเมืองภายในประเทศไทยจะสงบลง แต่สถานการณ์ระหว่างประเทศก็ไม่สงบ กล่าวคือ สงครามมหาเอเชียบูรพาเริ่มแผ่ขยายมาถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานครถูกโจมตีทางอากาศหลายครั้งจนการคมนาคมไม่สะดวก พระบิดาจึงให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ เพราะอยู่ใกล้วังพระบิดา ได้เรียนที่นั่นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จนจบชั้นมัธยมศึกษา หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้เรียนเปียโน ซึ่งเรียนได้ดีและเร็วเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสด้วย

พ.ศ. 2489 ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งรัฐทูตวิสามัญและอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้โดยได้ทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปอยู่ด้วย ในเวลานั้นหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ มีอายุได้ 13 ปีเศษ และเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว
ขณะที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้ศึกษาต่อทั้งวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และวิชาเปียโนกับครูพิเศษ หลังจากนั้นไม่นาน พระบิดาย้ายไปเดนมาร์กและฝรั่งเศส ตามลำดับ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็ยังคงเรียนเปียโน และตั้งใจจะศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส

ระหว่างที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (ขณะนั้นทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์) ซึ่งพระองค์เสด็จประพาสกรุงปารีส โดยทางรถยนต์จากสวิตเซอร์แลนด์ เพราะประสงค์จะเลือกซื้อรถยนต์พระที่นั่งแทนคันเดิม และยังได้รับชมการแสดงดนตรีของคณะที่มีชื่อเสียงด้วย ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินมายังกรุงปารีส ก็ได้ประทับที่สถานทูตไทยประจำประเทศฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับนักเรียนไทยคนอื่นในสมัยนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดการดนตรีเป็นพิเศษ ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ก็สนใจศิลปะเช่นกัน ทำให้เกิดความความสัมพันธ์ขึ้น
ทรงหมั้น
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยมีหม่อมหลวงบัวและหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการเป็นประจำ และในช่วงระยะเวลาที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่เฝ้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระนามในเวลานั้น) ได้ทรงรับเป็นธุระจัดการให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียน Pensionnat Riante Rive [ต้องการแหล่งอ้างอิง] ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งของโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากอาการประชวรแล้ว ก็ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นการภายในเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492

หลังจากทรงหมั้นแล้ว หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ยังคงศึกษาต่อ กระทั่ง พ.ศ. 2493 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครเพื่อร่วมพระ ราชพิธีถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์ท่านโปรดฯ ให้หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ตามเสด็จพระราชดำเนินกลับมาด้วย

อภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงสายสะพายนพรัตน์ราชวราภรณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น ณ วังสระปทุม และโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

หลังจากครองราชย์สมบัติอย่างกะทันหัน พระบาทสมเด็จพระหัวอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 และโปรดฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี หลังจากนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ กลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงรักษาพระองค์และทรงศึกษาต่อ แล้วเสด็จฯ กลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2495
              

พระราชโอรสธิดา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดา 4 พระองค์ ดังนี้
1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาลมองซัวซี นครโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2494 ต่อมาได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ (ปัจจุบัน ทรงพระนามว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริโสภาพรรณวดี) เพื่อสมรสกับนายปีเตอร์ เลด เจนเซ่น ชาวอเมริกัน ทรงมีพระโอรส 1 องค์ และพระธิดา 2 องค์
2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์ สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ต่อมา ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. 2515
3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อ พ.ศ. 2520
4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม พ.ศ. 2500 ทรงอภิเษกสมรสกับ เรืออากาศโท (ยศในขณะนั้น) วีระยุทธ ดิษยะศริน ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน และระหว่างที่ผนวช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกัน


กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ
ดอกมะลิ ดอกไม้สัญลักษณ์วันเเม่
1. ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ
2. ร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
3. การประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ และประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
4. จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ การแสดง การประกวดต่างๆ เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
5. การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล
6. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่
 
บรรณานุกรม 
วันแม่แห่งชาติ : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
Thailand Web Stat ปรับปรุงล่าสุด : 10 สิงหาคม 2553 20:14:21 น.




เปลี่ยน 7 สิ่งสร้างสุขเพื่อแม่

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ร่วมกับศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ รณรงค์ทำดีเพื่อแม่โดยแนะให้เปลี่ยน 7 อย่างสร้างสุขให้แม่

แนะ!!เปลี่ยน7สร้างสุขให้แม่วิธีง่ายๆสไตล์อายุรวัฒน์

นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าว ว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่ทุกคนระลึกถึงพระคุณของแม่โดยการทำดีเพื่อเป็นการตอบแทนคุณท่าน ซึ่งขอแนะนำให้เปลี่ยน 7 อย่างสร้างสุขให้แม่ ด้วยวิธีง่าย ๆ สไตล์อายุรวัฒน์ โดยให้มีวิถีชะลอวัย โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยไปตามวัยเสมอ ดังนี้คือ 1. เปลี่ยนอาหาร ผู้ที่เป็นมารดามักต้องเสียสละร่างกายส่วนหนึ่งเพื่อไปสร้างเป็นร่างกายลูก น้อย ส่วนหายไปทำให้คุณแม่ทรุดโทรมได้เมื่อถึงวัยหนึ่ง การเปลี่ยนอาหารช่วยคุณแม่นั้นขอให้เริ่มที่ ชา,กาแฟ,น้ำอัดลม,น้ำหวานและแอลกอฮอล์ ขอให้เป็นน้ำเพื่อสุขภาพนั่นคือ “น้ำเปล่า” และ “น้ำผักผลไม้ปั่นทั้งกาก” ส่วนในเรื่องมื้ออาหารขอให้ทานแบบไม่ต้องหนักทั้ง 3 มื้อก็ได้ ปรับมื้อเย็นให้เบาลงเป็นสลัดหรือผักน้ำพริกไม่มีข้าว เอาอาหารแคลเซียมสูงเติมเข้าไป อาทิ เต้าหู้,งาดำและปลาเล็กให้คุณแม่รับประทาน “เติมกระดูก” ให้ลูกควงแขนเดินเล่นได้นานๆ

2.เปลี่ยนน้ำดื่ม การดื่มน้ำแบบคุณแม่ต้องเลือกดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจริง ๆ น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่คุณแม่หลายท่านไม่คุ้นชิน การกินน้ำชา,กาแฟหรือน้ำแร่นั้นก็เป็นเรื่องนานาจิตตังสุดแต่คุณแม่นิยมครับ แต่หลักการก็คือให้มีน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรเพื่อบำรุงสมองและหัวใจของคุณแม่ให้ไม่เสื่อมไวจากการอักเสบตามวัย 3.เปลี่ยนการนอน คนเมื่อถึงวัยคุณแม่แล้วมักบ่นว่านอนได้น้อยลงหรือไม่ก็ตื่นไวขึ้น การนอนที่ดีของคุณแม่ขอคุณลูกแค่แอบสังเกตว่า “นอนกลางวัน” หรือไม่ถ้าใช่ให้ชวนคุณแม่ทำกิจกรรมอื่นแทนการนอน ถ้ายังไม่หลับอีกก็ให้หา “น้ำเชอรี่”, “ขี้เหล็ก”, “มะตูม” หรือชาคาโมไมล์อุ่นท้องมาให้คุณแม่รับประทานจะช่วยได้มาก

4.เปลี่ยนการนั่ง คุณแม่หลายท่านมีเรื่อง “น้ำหนักเกิน” จากการไม่ค่อยลุกเดิน ขอให้ชวนคุณแม่มาลุกเดินรอบบ้านบ้างหรือเปลี่ยนโลเคชั่นสวยๆ นอกบ้านให้คุณแม่รู้สึกอยากเดิน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ “ข้อเข่า” และ “ข้อสะโพก” มีปัญหา แต่ถ้ามีคุณแม่ที่ขยันไม่หยุด เดินทั้งวันก็ขอให้คุณลูกดูอย่าให้ท่านั่งท่า ขัดสมาธิ,พับเพียบ,ยองๆ และคุกเข่าบ่อยเกินไปเพราะทำลายข้อได้

5.เปลี่ยนข้อไหล่ข้อเข่า นั่นคือเปลี่ยนให้คุณแม่ได้พักร่างกายบ้าง อย่างการหิ้วของหนักหรือยกของจนข้อไหล่และหลังแทบพังนั้นขอให้เว้นไว้เลย เพราะคุณแม่อาจมีปัญหากับ “โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)” หรือกระดูกบางระยะเริ่มต้นมาก่อนแล้ว ลองคิดง่ายว่าตั้งแต่เราเกิดมาก็มีแม่คอยอุ้ม ครั้นโตขึ้นแม่บางท่านต้องช่วยหิ้วกระเป๋าหนังสือ เมื่อเติบใหญ่ทำงานได้แล้วคุณแม่ก็อาจยังต้องคอยช่วยดูแลกิจการ ช่วยยกข้าวของหรือซักผ้าทำงานบ้านเพื่อให้ลูกสบายขึ้น ขอให้จับมือคุณแม่ไว้แล้วช่วยให้ท่านเบาแรง 6.เปลี่ยนหัวใจ ในที่นี้หมายถึงจิตใจข้างในของคุณแม่ต้องแก้ที่ “เครียด” ด้วย ในผู้ใหญ่เราพบภาวะเครียดเก็บไว้ข้างในจนกลายเป็น “ซึมเศร้า (Depressive mood disorder)” ได้มาก หากมีอาการเหงาๆ เงียบๆ ไปขอให้ลูกๆ เข้าไปทัก นอนตัก นั่งนวด ลูบเนื้อตัวให้คุณแม่ แค่นี้ก็ช่วยล้างพิษพิชิตเครียดในหัวใจคุณแม่ได้แล้ว เปลี่ยนให้ความเครียดนั้นกลายเป็นความสุขตามประสาแม่ลูก

7.เปลี่ยนรัก ให้คุณแม่ได้พักบ้าง เพราะความรักของแม่นั้นเป็นอนันต์ ทุกๆ วันแม่มีแต่คอยรักและห่วงลูกจนเมื่อแม่ย่างเข้าวัยอาวุโสขึ้น แม่จะรู้สึกว่าต้องฝืนร่างกายดูแลลูกทำกับข้าวหรือดูแลบ้านเพื่อลูกเพราะคำ ว่า “รัก” คำเดียวเท่านั้น ข้อนี้สำคัญครับคือขอให้ลูกเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรักแม่อย่างที่แม่ทำบ้าง ให้แม่วางภาระงานลงแล้วหาคนมาช่วยทำงานบ้าน โดยตัวลูกเองลงมาชวนคุณแม่ทำกิจกรรมเล็กๆน้อยด้วย กันพอให้ไม่เหงาเช่น ทำกับข้าวให้แม่กิน, ชวนแม่ทำสวนหรือชวนกันเดินเล่นกวาดพื้นแถวซอยบ้าน

สำหรับเรื่องการ “เปลี่ยน” นั้น น.พ.กฤษดา กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ลูกทุกคนจะทำให้คุณแม่ได้ เพราะดวงใจของคุณแม่ก็คือลูก ลงถ้าลูกเป็นห่วงและขอร้องแล้วก็เชื่อว่าคุณแม่ส่วนใหญ่คงพร้อมที่จะทำอย่าง ปลื้มใจที่สุด แต่ก็ขอให้อย่าเพิ่งหยุดการเปลี่ยนนี้ที่แค่คุณแม่ เพราะตัวลูกเองก็อาจ “เปลี่ยน” ให้คุณแม่มีความสุขได้เช่นกัน โดยเปลี่ยนสำคัญที่มอบเป็นของขวัญในวันแม่ได้ก็คือ เปลี่ยนการดื่มเหล้า, สูบบุหรี่, เปลี่ยนการกินเที่ยวดึกๆ หรือเปลี่ยนตัวตนเป็นคนขยันช่วยคุณแม่ให้ไม่ต้องเหนื่อยตลอดชีพ เพราะความสำคัญอยู่ที่ “รักจากลูก” นั่นเองที่ทำให้แม่ไม่เกรงกลัวการเปลี่ยนแปลง ด้วยแรงรักที่ทำให้ “เปลี่ยน” นี้จะทำให้แม่มีสุขภาพดีอยู่กับลูกไปนานแสนนาน


ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มือ เท้า ปาก

สธ. ประกาศ ให้ปชช.เฝ้าระวังป้องกันโรคมือเท้าปาก
 กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ ตามที่มีรายงานเรื่อง โรคมือ เท้า ปาก ระบาด กระทรวงสาธารณสุข ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จึงออกมาตรการเพื่อดำเนินการป้องกันและควบคุมโรค รัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค
ทั้งนี้ให้ดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เน้นการรักษาความสะอาดและสุขอนามัย โดยเฉพาะในศูนย์เด็กเล็ก สถานศึกษาและชุมชน โดยประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก และการป้องกันโรคแก่ประชาชนโรคมือ เท้า ปาก มักเกิดในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี พบได้น้อยในเด็กโต หรือ ผู้ใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด ในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส ลักษณะอาการป่วย คือ จะมีไข้ มีจุด หรือ ผื่นแดงในปาก ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้มและเกิดผื่นแดง ซึ่งต่อมาจะเกิดเป็นตุ่มพองใส บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และที่ก้น บางรายอาจไม่มีตุ่มพอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง ใน 7-10 วัน
สำหรับโรคนี้จะรักษาตามอาการ ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 1-2 อาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น มีอาการทางสมอง หรือ อาการในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่รักษาหายได้ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งมักเกิดจากเชื้อไวรัสบางตัว เช่น เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 เชื้อโรคมือ เท้า ปาก อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มพอง และแผลในปากของผู้ป่วย เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก โดยติดมากับมือ หรือ ภาชนะที่ใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือ ติดจากการไอ จามรดกัน จึงอาจติดต่อกันได้ง่ายในสถานที่ ที่มีเด็กอยู่ร่วมกันจำนวนมาก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล
โดยกระทรวงสาธารณสุข จึงแนะนำให้ทำความสะอาดอย่างละเอียด ทั้งสถานที่ ภาชนะที่ใช้ร่วมกัน และควรตรวจคัดกรองเด็กทุกวัน หากพบเด็กมีไข้ หรือ มีอาการน่าสงสัยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ควรให้เด็กหยุดเรียน หากสังเกตว่าเด็กมีอาการมากขึ้น เช่น มีไข้สูง เป็นแผลในปาก ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น หอบเหนื่อย อาเจียน ชัก ให้รีบนำไปพบแพทย์ ทั้งนี้ หากมีเด็กป่วยเพิ่มขึ้น ให้พิจารณาปิดสถานศึกษา เพื่อทำความสะอาดและป้องกันการระบาด ตามแนวทางที่สาธารณสุขแนะนำ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไป ควรรักษาความสะอาด ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย สังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบว่าดังมีอาการตามที่กล่าวมา แม้จะไม่มีผื่นขึ้นก็ตาม ควรรีบนำไปพบแพทย์ หลีกเลี่ยงการนำเด็กไปอยู่ในที่ชุมชนสาธารณะ หรือที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดโรค ขอให้ประชาชนเฝ้าระวัง ป้องกัน และช่วยกันควบคุมโรคมือ เท้า ปาก ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

เชิญร่วมบริจาคโลหิต

ขอเชิญร่วมบริจาคโลหิตที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเพ็ญ  จังหวัดอุดรธานี

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2555  เวลา 08.30 เป็นต้นไป

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ค้นหาบล็อกนี้