วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คอตีบ



โรคไข้คอตีบ
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  (Corynebacterium diphtheriae) มักจะเป็นในระบบทางเดินหายใจ ต่อมทอนซิล ลำคอ  
กล่องเสียงหรือจมูก
อาการและการติดต่อ  

ติดต่อทางตรงโดยผู้ป่วยเป็นพาหะ ติดจากละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยหรือจากน้ำนมที่มีเชื้อโรค โดยการใช้ขวดนมร่วมกันของเด็กที่เป็นโรคติดต่อทางอ้อม โดยการใช้ภาชนะ ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย พบมากในแหล่งชุมชน หรือสถานที่แออัด 
เช่น สถานเลี้ยงเด็ก อาการของโรคคอตีบจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉียบพลัน หลังจากผ่านระยะฟักตัวหรือเมื่อ เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้วประมาณ 2-5 วัน
บริเวณที่ติดเชื้อจะมีแผ่นเนื้อเยื่อสีเทา หรือ สีขาว เกิดที่ผนังของหลอดคอและที่ต่อม
ทอนซิล รอบ ๆ แผ่นเยื่อสีเทานี้จะบวมแดง อันเนื่องมาจากการอักเสบ อาการโดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บในหลอดคอ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย ถ้าเป็นคอตีบของกล่องเสียง จะมีอาการบวมมาก 
 อาจทำให้หายใจไม่ออก ทำให้เด็กเล็กๆ ตายได้ง่าย  แต่ถ้าเป็นคอตีบที่โพรงจมูกจะมีอาการเล็กน้อย
และมักจะเรื้อรัง โดยมีน้ำมูกข้างใดข้างหนึ่งอาจมีเลือดปนคอตีบของผิวหนังจะเกิดแผล มีสะเก็ด
สีเหลืองหนาบนปากแผล สะเก็ดจะติดแน่นบนผิวหนังมักมีอาการเรื้อรังเช่นเดียวกับคอตีบที่ช่องจมูก
โรคแทรกซ้อน อาจเกิดโรคหัวใจอักเสบ หรือมีอาการอักเสบของประสาทสมอง โรคอัมพาตเนื่องจากพิษทางประสาท
โรคไข้คอตีบ มักพบมากในเด็กก่อนและระยะต้น ๆ ของวัยเรียน คือช่วงอายุ 2-5 ปี  หรือพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 15
ปี ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับภูมิคุ้มกันก็อาจป่วยเป็นไข้คอตีบได้
    
การตรวจวินิจฉัยโรค
1.ดูจากอาการผู้ป่วย
2.ตรวจพบเนื้อเยื่อสีเทาหรือสีขาว (Tenacious gray pseudomembrane)  ที่บริเวณ ซึ่งตัวเชื้อโรคเข้าไป
นำไปเพาะเชื้อ
    
การป้องกัน
1.
การให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Toxoid) ให้ครอบคลุม ควรเริ่มในเด็กทารกด้วย วัคซีน DTP  ซี่งประกอบด้วย
Toxoid คอตีบToxoid  บาดทะยัก และวัคซีนไอกรน  โดยฉีดในเด็ก อายุ 2-3 เดือน ฉีดเข็ม 2 และ 3 ห่างกัน
เข็มละ 2 เดือน  แล้วฉีดกระตุ้นหลังเข็มสุดท้ายประมาณ 1 ปี สำหรับเด็กหรือผู้สัมผัสโรค ควรฉีด Antitoxin 
โดยพิจารณาปริมาณตามความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันโรค
2.ไม่ควรใกล้ชิดผู้ป่วย จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า เด็กนั้นไม่เป็นพาหะของโรคแล้ว
 

ค้นหาบล็อกนี้